อยากวิ่งเร็ว ต้องฝึกแบบไหน? รู้ไหมว่าการวิ่งระยะทางเดิมและที่ความเร็วคงเดิม จะไม่ส่งผลดีต่อนักวิ่งในระยะยาว ประการแรก ความเร็วเราจะคงที่หรือลดลงได้ เพราะการฝึกกล้ามเนื้อและระบบคาร์ดิโอ หรือระดับความอึดและการรีดพลังของกล้ามเนื้อเพื่อพัฒนาเพิ่มความเร็วไม่ถูกกระตุ้น ประการที่สองการที่เราวิ่งในจังหวะเดิมๆ ระยะทางเดิมๆ ทำให้เราเผาผลาญแคลอรี่คงที่ ร่างกายเริ่มปรับตัวให้ชิน การวิ่งเพื่อควบคุมน้ำหนักสัดสวนร่างกายก็จะเริ่มทำได้ยากขึ้นเช่นกัน เทคนิคการวิ่งต่อไปนี้ จะเป็นการหลอกร่างกายและสมอง เพื่อดึงเอาศักยภาพของร่างกายที่เราเก็บซ้อนเอาไว้มาใช้ให้เต็มที่ เอามาพัฒนา performance การวิ่งให้วิ่งได้เร็วและอึดมากขึ้น
วิทยายุทธไร้กระบวนท่า หรือการฝึกวิ่งแบบ Burfoot ถูกคิดค้นโดยตามแชมป์บอสตันมาราธอนปี 1968 คุณ Amby Burfoot คิดค้นการฝึกวิ่งที่ไม่มีระบบโครงสร้างตายตัว ไม่พยายามให้โปรแกรมการฝึกเป็นแบบรูทีนที่ต้องทำซ้ำๆ การฝึกแบบนี้ จะช่วยหลอกให้ร่างกายดึงศักยภาพที่ร่างกายเราเก็บซ้อนเอาไว้มาใช้ แม้ว่าจะจบการฝึกหลัก คิดว่าเราเหนื่อยหมดแรง ไปไม่ไหวแล้วนะ แต่จริงๆ แล้วเรายังพอมีพลังงานเหลือพอที่จะวิ่งในความเร็วคงเดิมได้อีก 3-4 เซตเลยนะ
กระบวนท่าที่ 1…วัดดวงวิ่งพัก
วิ่งแนว interval โดยเซตระยะวิ่งที่ 10 x 400 โดยเวลาพักจะถูกคำนวณด้วยเลขท้ายสุดของ มิลลิวินาที คูณด้วย 20 ตัวอย่างเช่น ถ้าเราวิ่งระยะ 400 เมตรแรกจบที่ 1:18.36 นำเลขท้ายสุดคือเลข 6 x 20 = 120 วินาที เราจะได้เวลาพัก 120 วินาที
การวิ่งแบบนี้ ให้คิดเสมอว่าเราอาจจะมีเวลาพักที 90 วินาที แต่ถ้าโชคดีลงท้ายด้วยเลข 0 ก็จะต้องวิ่งเซตต่อไปทันทีเลย ทั้งนี้อย่ายึดติดกับ pace ให้มาก นักวิ่งควรผ่อนหนักเบาตามสมควร เพราะจุดประสงค์การซ้อมนี้ เพื่อผลักดันเราให้ถึงจุดที่เหนื่อยจนไม่สามารถไปต่อได้แล้วจริงๆ
กระบวนท่าที่ 2…แล้วแต่ท่าน (ผู้นำ)
เป็นการวิ่งแนว fartlek เซตเป้าหมายการวิ่งที่ 12 รอบ วิ่งกับเพื่อนๆ และหัวหน้าทีมที่ควรมีฝีเท้าใกล้เคียงกัน ให้ระยะเวลาและจังหวะการพักวิ่งเป็นของหัวหน้าทีมที่ต้องตัดสินใจ หัวหน้าทีมต้องไม่บอกว่าจะวิ่งด้วยความเร็วเท่าไหร่ หน้าที่ของผู้ตามคือต้องวิ่งให้ทัน และความพิเศษอยู่ที่สมาชิกทุกคนต้องกลายเป็นหัวหน้านำทีมในแต่ละรอบ วนสลับกันจนครบ 12 รอบ จุดประสงค์ของการวิ่งแบบนี้ก็เพื่อ ฝึกให้รองรับการปรับเปลี่ยน pace ทันทีทันใด เสมือนวิ่งแข่งจริง

กระบวนท่าที่ 3…วิ่งสู้ฟัด
จะเป็นการวิ่งแนว Fartlek เช่นกัน พยายามวิ่งแซงสิ่งที่อยู่ข้างหน้า 10 อย่าง อาจจะเป็นอะไรก็ได้ อาจจะเป็นนักวิ่งที่วิ่งบนเส้นทางเดียวกัน หรือ เสาไฟฟ้า หลักกิโลเมตร รถยนต์หรือต้นไม้ก็ได้ หลังจากนั้นวิ่งแบบ จ๊อกกิ้ง ผ่านวัตถุสิ่งของหรือคน 5 อย่างแล้วค่อยเริ่มวิ่งแซงสิ่งที่อยู่ข้างหน้าต่อไป และทำจนหมดแรงเช่นเคย
กระบวนท่าที่ 4…สเตปเท้าไฟ
เป็นการวิ่งที่ใช้เสียงเพลงเข้ามาช่วยในการฝึก จังหวะการวิ่งจะขึ้นอยู่กับ Beat ของเพลง พยายามใส่เพลงที่มีจังหวะช้าเร็วสลับกัน เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการฝึกวิ่งสลับ pace ช้าเร็วสลับกันไปให้หลากหลาย แต่อย่างน้อยควรมีจังหวะเร็วๆ 20 นาที
อ้างอิงwww.runnersworld.com