ทราบกันดีว่าการวิ่งออกกำลังกายแบบ Virtual Run (VR) สามารถทำได้ทุกที่ทุกเวลา แต่สำหรับการวิ่ง VR Challenge ที่ไม่มีใครเฝ้าติดตามเหมือนสนามแข่งขันจริง นักวิ่งต้องมีวินัยบังคับตัวเองให้วิ่งครบระยะที่กำหนดไว้ภายในเวลาที่กำหนดซึ่งส่วนมากกติกาจะให้เวลาประมาณ 1 เดือน มาดูกันว่าเราจะสร้างแรงกระตุ้นตัวเองให้วิ่งครบระยะChallenge ที่ตั้งไว้อย่างไรบ้าง…
4 วิธีเอาชนะใจตัวเอง พิชิต Virtual Run Challenge
1. ต้องสร้างเป้าหมายของการวิ่งทุกครั้ง ไม่ว่าจะลงสมัครวิ่ง VR Challenge ตัวไหนก็ตาม ก็ต้องเซตเป้าหมายของตัวเองให้สอดคล้องกับ การวิ่ง VR Challenge นั้นๆ ส่วนมากระยะที่เราเข้าร่วม Challenge จะเป็นระยะฝึกวิ่งเพื่อไปถึงระยะฮาร์ฟมาราธอนหรือมาราธอน อย่างเช่น ลงแข่งขัน VR Challenge ระยะ 5-10K ของนักวิ่งมือใหม่ที่ การลงวิ่ง VR Challenge ระยะ 21K ของคนที่เคยวิ่งระยะ 10K มาแล้วหรือจะลง VR Challenge 30+ กิโลเมตรเพื่อซ้อมไปมาราธอน เป็นต้น ดังนั้นการวิ่ง VR จะต้องได้ประโยชน์การฝึกซ้อมเพื่อไประยะที่สูงกว่า พยายามอย่าให้การวิ่งของเราเป็นการเสียเปล่าหรือที่เรียกว่า Garbage miles

2. สร้างแผนการวิ่งหรือ Workout plan ทุกครั้ง หนึ่งในข้อดีของการวิ่ง VR คือเราสามารถเก็บสะสมระยะทางได้เรื่อยๆ ภายใต้ระยะเวลาที่กำหนด เพื่อไม่ให้การวิ่งน่าเบื่อ จึงควรวางแผนการวิ่งในแต่ละวันให้ตรงกับตารางการฝึกวิ่ง อย่างเช่นภาพตัวอย่างตารางฝึกซ้อมวิ่ง 10K ในเวลา 8 สัปดาห์

ทำแบบนี้ทุกครั้งเมื่อออกวิ่ง แผนการฝึกจะทำให้เรามีเป้าหมาย ทำให้การวิ่งไม่น่าเบื่อ
3. หาเพื่อนหรือบัดดี้คู่วิ่งถ้าไม่มีก็ลองเข้ากลุ่มวิ่งไหนก็ได้ดูครับ แต่ดีที่สุดคือเพื่อนวิ่งในที่ทำงานเดียกัน เพราะเพื่อนจะช่วยกระตุ้นเราให้ออกไปวิ่งได้อย่างดี ไม่ว่าจะเป็นเพราะการข่มทับกันเรื่องแต้มระยะทางที่เก็บสะสมได้ใน Leader board ซึ่ง VR Challenge จะมีฟีเจอร์จัดอันดับนักวิ่งแสดงให้ดูเสมอๆ หรือมีข้ออ้างและแรงผลักดันร่วมกัน อย่างวิ่งเพื่อลดน้ำหนัก วิ่งไปเที่ยวไป วิ่งไปแล้วกินอะไรก็ได้ก็ตาม นอกจากนี้การมีเพื่อนวิ่งจะช่วยลากเราให้วิ่งได้เร็วและกินระยะได้มากขึ้น ได้ฝึกวิ่งเหมือนในสนามแข่งจริงด้วย เพราะ pace การวิ่งจะมีขึ้นๆ ลงๆ สลับกันไป

4. หาสนามของตัวเอง เพื่อให้การวิ่งมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีความปลอดภัย เราแนะนำให้ลองหาสถานที่ฝึกซ้อมวิ่งที่สะดวกที่สุด อาจจะเป็นสวนสาธารณะใกล้บ้านหรือที่ทำงานหรือจะเป็นเส้นทางในหมู่บ้านก็ได้ เพราะเวลาที่จิตไร้กังวล เราจะมีสมาธิโฟกัสกับการวิ่งได้มากขึ้น และเมื่อวิ่งไปสักระยะหนึ่งหากจะขอเปลี่ยนบรรยากาศหาสถานที่วิ่งไหมก็ไม่ผิด แถมนักวิ่งเองจะได้มีการสัมผัสบรรยากาศของสถานที่ใหม่ ได้สัมผัสความยากง่ายของพื้นถนนวิ่งมากขึ้นด้วย
ข้อดีของการวิ่ง VR คือเราสามารถวิ่งได้ทุกที่ทุกเวลาที่สะดวก ได้สนุกไม่กดดันเหมือนการวิ่งแข่งในสนามจริง ได้วิ่งตามตารางฝึกซ้อมและแถมได้รางวัล ได้เสื้อได้เหรียญด้วย เหมาะสำหรับคนที่กำลังจะฝึกวิ่งระยะไกลแต่ขาดความมั่นใจและแรงใจ การวิ่ง VR จะช่วยสร้างแรงกระตุ้น เพราะทุกระยะที่พิชิตไม่ว่าจะมากหรือน้อยได้ มันคือการให้ Reward ตัวเอง ที่ละนิดแต่ถี่และต่อเนื่อง เหมือนการหยอดกระตุก เมื่อสะสมระยะมากๆ เข้าก็จะมีโมเมนตรัมผลักดันให้เรามีวินัยในการฝึกวิ่ง
อ้างอิง www.virtualpaceseries.com
Discussion about this post