ข้อดีของการวิ่งบนลู่วิ่ง (Treadmill) คือเราสามารถวัดผลการฝึกได้ชัดเจนเป็นบรรยากาศที่เราสามารถควบคุมทุกอย่างได้ 100% ไม่ว่าจะควบคุมความเร็วหรือpace ตัวเองที่ได้อย่างต่อเนื่องนานและไม่ถูกรบกวนจากนักวิ่งหรือสภาพถนน เหมือนการวิ่งแบบ outdoor การตั้งความสูงชันและระยะเวลาได้ตามใจชอบ สำหรับใครที่ต้องการวิธีฝึกวิ่งเพื่อเพิ่มความเร็ว(Speed)เพิ่มความอึดทึกทนและความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ (Endurance & Strength) อย่างมีแบบแผนชัดเจน เราแนะนำให้ลองฝึกกับลู่วิ่งดูก่อนแล้วค่อยออกไปทดลองฝึกวิ่งแบบOutdoor อีกครั้ง
4 รูปแบบการฝึกวิ่งบนลู่วิ่ง ที่จะทำให้คุณเร็วเเข็งเเกร่งและเบริ์นไขมันได้มากขึ้น พร้อมลุยเนินเขาได้สบาย
1. Treadmill Workout to Increase Speed ออกแบบโดย Lisa Rainsberger ลักษณะฝึกแบบ “3-2-1”speed session เป็นเวลา 34 นาที แต่สำหรับนักวิ่งระดับกลางให้เพิ่มเวลา warm up และcool down อีก10นาที รวมเวลาฝึกเป็น 44 นาทีและสำหรับนักวิ่งที่มากด้วยประสบการณ์ ก็ให้เพิ่มเวลา warm up และ cool down เป็น 10-15 นาทีและเพิ่มเซตการฝึก จนได้เวลาฝึกรวม 56 นาที

2. TreadmillWorkout to Build Strength ออกแบบโดย Michael Piermariniโฟกัสการฝึกเพิ่มความแข็งแกร่งให้กล้ามเนื้อเพื่อพิชิตเนินความชันมีระยะเวลาฝึกประมาณ 28 นาทีเหมาะสำหรับใครที่จะไปลงแข่งสนามวิ่งที่มีเนินความชันสูงและการวิ่งเทรล การฝึกให้หาลู่วิ่งที่ปรับความชันได้

3. TreadmillWorkout to Burn Fat ออกแบบโดย Matt Nolan เหมาะสำหรับนักวิ่งที่มีประสบการณ์ระดับกลางถึงสูง เพราะมีลักษณะเป็นInterval แบบโหดนิดๆมีเวลาการฝึกประมาณ 50 นาที

4. Workoutto Charge Up Hills สำหรับใครที่ต้องการฝึกเพื่อไปลุยเขา เราแนะนำการฝึกแบบ hill workoutที่มีการผสมฝึกใช้ความเร็วด้วย ออกแบบโดยHollisTuttle ใช้เวลา 45 นาที

ส่งท้ายกันสักนิด…ก่อนจะขึ้นฝึกวิ่งบนลู่วิ่ง นักวิ่งควรรู้จักว่า Pace ปกติอยู่ที่ความเร็วประมาณไหนไว้ก่อน จะได้ฝึกได้อย่างไม่ติดขัด เอาง่ายๆ ก็คือ Pace ที่เราสามารถพูดเป็นประโยคได้สบายๆ สำหรับการเพิ่มความเร็วระดับ Fast pace คือระดับที่เราพูดได้ที่ละคำ สองคำ และสำหรับ Pace แบบใส่หมดก็คือไม่สามารถพูดได้เลยและประคองความเร็วได้ประมาณ 30 วินาที เมื่อเข้าสู่จังหวะวิ่งแบบ recovery ก็คือการวิ่งเบาๆ ระดับระหว่าง Easy กับ Fast pace
อ้างอิง www.runnersworld.com
Discussion about this post