ในช่วงระหว่างวิ่งฝึกซ้อมหรือวิ่งแข่งขัน ถ้ารู้สึกว่าขาเจ้ากรรมเริ่มไม่ไหวแล้ว ต้องหยุด ในหัวเราคงคิดว่ามาได้แค่นี้แหละ แต่จริงๆ แล้ว ร่างกายเรายังมีพลังงานเหลืออยู่ให้คุณวิ่งไปได้อีก แค่สมองถูกกระตุ้นให้เราหยุด เพื่อรักษาพลังงานเก็บไว้ใช้ในยามฉุกเฉิน ตามสัญชาติญาณธรรมชาติ
Running tip: ปรับ Mind set ใหม่ เพื่อไปได้เร็วขึ้น
มีงานวิจัยที่ทำการทดสอบการยืดหดของกล้ามเนื้อ (muscle contraction) กับกลุ่มนักวิ่งระยะ 20 กิโลเมตร โดยการทดสอบแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มแรกให้วิ่งโดยปกติ มีสมองเป็นตัวควบคุมตามธรรมชาติ และอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้อุปกรณ์และกระแสไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อแทนการใช้สมอง
นักวิ่งกลุ่มแรกแสดงผล การยืดหดหรือ muscle contraction อ่อนตัวลงหลังจากผ่านระยะ 15 กิโลเมตร แต่อีกกลุ่มที่มีการกระตุ้นด้วยไฟฟ้ากลับกลายเป็นว่ากล้ามเนื้อยังทำงานได้เหมือนเดิมเมื่อเริ่มต้นวิ่ง นั้นแสดงให้เห็นว่าสมองเราเป็นตัวการหลักที่สามารถควบคุมให้กล้ามเนื้อรู้สึกเหนื่อย ทั้งๆ ที่ยังสามารถทำงานได้เหมือนเดิม
กลไกนี้ อาจจะเป็นเพราะการวิวัฒนาการ เมื่อเรายังเป็นนักล่า ร่างกายสร้างกลไกเพื่อป้องกันไม่ให้เราใช้พลังงานจนหมด มีการสั่งการให้รักษาพลังงานเพื่อใช้เดินทางกลับ และการฝึกของนักกีฬาอย่างมีแบบแผนจะช่วยให้นักวิ่งสามารถก้าวข้ามระบบป้องกันจากสมองเราได้
ที่อย่างต้องเริ่มจาก Mind set การปรับเปลี่ยนมุมมองเพื่อก้าวข้ามจิตที่พันธะนาการเรา….
1. ต้องออกจาก comfort zone
การวิ่งอยู่ในจังหวะเดิมๆ ซ้อมแบบเดิมๆ ไม่สามารถผลักดัน performance ให้ดีขึ้นได้ หากอยากวิ่งให้เร็วขึ้นและไกลขึ้น มันก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จังหวะก้าวขาจะเร็วขึ้น ให้ร่างกาย ปอดและหัวใจคุณทำงานหนักขึ้น ฝรั่งเรียกว่า “No pain, no gain” ต้องเจ็บปวดบ้าง ให้ร่างกายได้รับ workload ที่มากกว่าเดิม แต่ต้องระวัง เราต้องแยกแยะให้ถูกว่า อาการปวดของกล้ามเนื้อเป็นแบบ เบริ์น หรือที่เรียกว่า good pain (เราออกจาก comfort zone) กับอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ bad pain ที่คุณรู้สึกเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เจ็บแบบลึกไปถึงกระดูก (ใกล้จะมีการบาดเจ็บของกล้มเนื้อแล้ว
2. จินตนาการคือพลัง
เวลาวิ่งแข่งขันหรือวิ่งฝึกซ้อม หากรู้สึกมีอาการท้อถ้อย ให้จินตนาการภาพการเข้าเส้นชัย เพราะการจินตนาภาพการเข้าเส้นชัย มีพลังช่วยในการกระตุ้นความรู้สึกฮึกเหิม ความมั่นใจ ความอยากกระหาย หากมั่วแต่คิดด้านลบ มันจะยุยงให้ใจเราแพ้ ดังนั้นพลังแห่งจินตนาการจึงเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนักวิ่งทุกคน
3. สร้างเป้าหมายเล็กๆ เข้าไว้
การบรรลุเป้าหมายเป็นเหมือนการได้รับชัยชนะอย่างหนึ่ง เป็นการสร้างความเชื่อมั่นในตัวเองและสร้างแรงใจให้พิชิตเป้าหมายต่อๆ ไป กลไกการทำงานในที่นี้คือ ย่อยปัญหาใหญ่ ด้วยการสร้างเป้าหมายเล็กๆ ที่สามารถทำได้ไม่ยาก สามารถบรรลุได้บ่อย เป็นเหมือนขั้นบันไดที่เราค่อยๆ ไต่ขึ้นเรื่อยๆ ซอยเป้าหมายใหญ่ๆ ให้เล็กลอง จะทำให้เราสามารถพิชิตอุปสรรคได้ง่ายขึ้น เป็นชัยชนะเล็กๆ แต่ถี่ สร้างความภูมิใจให้ตัวเองบ่อยๆ อย่างเช่น การวิ่งมาราธอนที่เราลองแบ่งเป้าหมายเป็นหัวข้อย่อยๆ ดู วิ่ง pace 6-7 ให้ได้ 3-4 กิโลเมตร เพื่อรักษา posture และพลังงาน มีการวิ่งทำความเร็วในระยะ 200 เมตรก่อนถึงจุดให้น้ำเพื่อทำเวลา เพิ่มความเร็วขึ้นอีกหนึ่งสเตปเมื่อผ่าน 20 กิโลเมตรแรก และเมื่อเหลือ 10 กิโลเมตรท้าย ค่อยปรับความเร็วให้สุด ทำให้งานจบไปทีละสเตป
และท้ายสุดที่นำคือ การสร้างคติประจำใจ หรือคำพูดจากบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจ คิดถึงตำพูดเขาหรือคติประจำใจ เวลาที่ใจเริ่มอ่อนแอ จะได้มีแรงอึดกลับมาใหม่ หรือจะคิดถึงรางวัล อาหารและชานมไข่มุกที่จะได้กินตอนท้ายก็ได้นะ
อ้างอิง http://www.runnersworld.com/psychology/train-your-brain