การพักผ่อน rest & recovery เพื่อการเพื่อฟื้นฟูร่างกาย คลายความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ เป็นหนึ่งในการฝึกที่ทำได้ยากสำหรับนักปั่น เพียงแค่หยุดไม่กี่วัน แต่อาการคันมือคันเท้าอยากปั่นเกิดขึ้นได้เป็นระยะและทุกวันสำหรับนักปั่น ใครที่เสพติดการปั่น การหยุดไปวันหนึ่งก็เหมือนกับลงแดงเลยก็ว่าได้
การทำ off season หรือการหยุดพักปั่น ไม่ว่าจะเป็นการหยุดแข่งขันหยุดซ้อมปั่น ก็มีผลดีมีประโยชน์ต่อนักปั่น อย่างที่คุณคาดไม่ถึงเลยก็ว่าได้
เหตุผลดีๆ ที่่สิงห์นักปั่นควร OFF SEASON บ้าง
1. เพื่อเลี่ยงอาการ Burnout
ในการฝึกซ้อมปั่นจักรยาน จะมีตัวแปรพื้นฐานหลักๆ อยู่สามอย่างคือ
- Fitness ความฟิตของร่างกาย เป็นการพัฒนาที่กินเวลา ระดับความฟิตร่างกายจะเป็นแบบ longterm development นั้นคือค่อยๆ พัฒนาขึ้นตามลำดับเป็นขั้นๆ ไม่สามารถก้าวกระโดดได้ มักจะกินเวลาฝึกอย่างน้อย 6 สัปดาห์ในการพัฒนาเพื่อเห็นความแตกต่าง
- Fatigue ระดับความอ่อนล้า อาการเหนื่อยหมดแรง มักจะเกิดขึ้นตามมาทุกๆ การฝึกและสะสมอย่างต่อเนื่องทุกๆ สัปดาห์ น้อยจากมีผลต่อร่างกายแล้ว ยังมีผลต่อสภาพจิตใจด้วย
- Form เป็นการพูดถึงการบาลานซ์ระหว่าง Fitness และ Fatigue เราสามารถเป็นนักปั่นที่แข็งแกร่งมีความฟิตมาก แต่เราจะมีการสะสมอาการเมื่อยล้ามากขึ้นเช่นกัน ซึ่งจะมีผลระทบต่อ performance
การวางแผนการฝึกที่ดีจะช่วยสร้างความฟิตขึ้นเป็นขั้นบันได และจุดสูงสุดก็จะเป็นจุดที่เรามีระดับความเมื่อยล้าสะสมสูงเช่นกัน หลังจากการฝึกหนักเพื่อพัฒนาความฟิตก็ต้องมาจบที่การพักฟื้นเพื่อให้ร่างกายได้ฟื้นฟูและปรับสภาพเข้ากับ workload ใหม่เสมอ
แต่หากดื้อดึงฝืนซ้อมต่อไป ร่างกายจะแบกรับความเมื่อยล้ามากจนฟื้นฟูไม่ทัน ทำให้ระบบการทำงานร่างกายและระบบภูมิต้านทานเริ่มเสียหาย การเกิดอาการเจ็บป่วยก็จะเริ่มตามมา
การหยุดพักจะการฝึกซ้อมหนักนอกจากจะช่วยให้ร่างกายได้พักฟื้น ฟื้นฟูและปรับตัวแล้ว ยังช่วยให้คลายความเครียดของร่างกายที่มีผลต่อจิตใจนักปั่นลง ช่วยสร้างความอยากในการฝึกซ้อมใหม่ ลดความน่าเบื่อของการฝึกลง เหมือนได้ลาไปเที่ยวพักร้อน ชาร์จแบตแล้วมาซ้อมใหม่อีกครั้ง
2. ให้ใจได้สงบอีกครั้ง
การหยุดพักก็เป็นการรีชาร์จ motivation ของนักปั่นอย่างหนึ่ง ให้สมองคลายความเครียดที่มาจากฝึกซ้อมและการลงแข่งขัน ช่วงเวลาที่ฝึกปั่นและลงแข่งจะทำให้เราโฟกัสต่อ การฝึกและ performance มาก การที่ผล performance ลดลงย่อมทำให้เกิดความเครียด การต้องการการฝึกที่มากขึ้นและการเมื่อยล้าที่ตามมา ไหนต้องมีการบาลานซ์ระหว่างงานและการฝึกอีกด้วย นี้จึงทำให้นักปั่นสามารถมีอารมณ์ฉุนเฉียวได้ง่ายขึ้นจากความเครียดสะสม
3. ได้มีเวลาในการฝึกกล้ามเนื้อเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง
เพราะ performance ไม่ไดขึ้นอยู่กับการขึ้นบนหลังอายปั่นเสมอ หรือเน้นการฝึกปั่นที่เป็นแบบ cardio อย่างเดียว การหยุดพักและให้เวลากับการฝึกกล้ามเนื้อ strength training ก็สามารถทำให้เราสารถมี performance ที่ดีขึ้น การฝึกบริหารกล้ามเนื้อเพื่อเพิ่มความแข็งแรง จะทำให้เราสามารถทนทานต่อ workload ได้นาน ลดอาการบาดเจ็บลงได้แถมยังผลิตพลังได้เยอะขึ้น
นอกจากนี้การฝึกยังช่วยพยุงระดับความฟิตไม่ให้ตกลงไปมากระหว่างหยุดพัก และได้โทนร่างกายให้ดูสมส่วนมากขึ้นด้วย
ท้ายสุดนี้ การหยุดพัก ก็เป็นช่วงเวลาที่ดีที่เราควรได้ทำการ fitting ใหม่ องศาการปั่นเราอาจจะเริ่มเป็นแอโรไดนามิกมากขึ้น จึงควรมีการวัดปรับตำแหน่งใหม่ หรือจัดซื้ออุปกรณ์จักรยานมาอัพเกรดตามลักษณะสไตล์การปั่น โดยอิงจากประสบการณ์ปั่นในฤดูที่ผ่านมา
อ้างอิง www.cyclingweekly.com