พลังใจทะลวงทุกสิ่ง
ปลดพันธนาการแห่งจิตเพื่อให้คุณไปได้ไกลและเร็วยิ่งขึ้น
อีกเพียงแค่ไม่กี่กิโลเมตรคุณก็จะถึงเส้นชัย แต่ขาเจ้ากรรมดันร้องโอดครวญ…เหนื่อยแล้ว พอแล้ว ไม่ไหวแล้ว เมื่อคุณถึงจุดที่รู้สึกว่าคุณไปไม่ไหวแล้ว ไม่สามารถก้าวขาได้อีก คุณหยุดโดยเชื่อว่าร่างกายเรารับได้เท่านี้แล้ว แต่รู้หรือไม่นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่าจิตใจของเรานั้นสั่งให้หยุดเร็วกว่าที่จะเป็น ทั้งๆ ที่คุณยังมีพลังที่จะไปต่อได้อีก
ได้มีงานวิจัยชิ้นหนึ่ง ทำการทดสอบการยืดหดของกล้ามเนื้อ (muscle contraction) กับนักวิ่งในระยะ 20 กิโลเมตร โดยแบ่งเป็นสองกลุ่มคือ กลุ่มแรกให้วิ่งโดยปกติ มีสมองเป็นตัวควบคุมตามธรรมชาติ และอีกกลุ่มหนึ่งที่ใช้อุปกรณ์และกระแสไฟฟ้ากระตุ้นกล้ามเนื้อแทนการใช้สมอง
ผลที่ได้คือ กลุ่มแรกมีการยืดหดหรือ muscle contraction อ่อนลงหลังจากผ่านระยะ 15 กิโลเมตร แต่อีกกลุ่มที่มีการกระตุ้นด้วยไฟฟ้ากลับกลายเป็นว่ากล้ามเนื้อยังทำงานได้เหมือนเดิมเมื่อเริ่มต้นวิ่ง…นี้แสดงให้เห็นว่าสมองเราสามารถควบคุมให้กล้ามเนื้อรู้สึกเหนื่อย ทั้งๆ ที่ยังสามารถทำงานได้เหมือนเดิม
ดร. Jim Taylor นักจิตวิทยาศาสตร์กล่าวว่าอาจจะเป็นเพราะผลพวงจากการวิวัฒนาการที่หลงเหลือไว้ ในอดีตเมื่อเรายังเป็นนักล่า เพื่อป้องกันไม่ให้เราใช้พลังานจนหมด สมองจะมีการสั่งการให้รักษาพลังงานในระดับหนึ่งเพื่อใช้เดินทางกลับบ้าน และท่านยังได้กล่าวว่าการฝึกจะสามารถก้าวข้ามระบบป้องกันจากสมองเราได้
ปรับเปลี่ยนระบบความคิด
สิ่งแรกที่ต้องทำ คือเราต้องมีการฝึกที่ดีเพื่อใช้ในการดึงศักยภาพร่างกายออกมาให้มากที่สุด แรงใจอย่างเดียวคงไม่อาจทำให้เราจบมาราธอนได้หรอก ทุกๆ การซ่อมคือการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เสมอ การซ่อมซ้ำไปมาจะช่วยให้เราสามารถรู้ว่าเราความสามารถมีมากน้อยแค่ไหน
ต้องออกจาก comfort zone เมื่อเราต้องการวิ่งให้เร็วขึ้นและไกลขึ้น เป็นธรรมดาที่จังหวะก้าวขาจะเร็วขึ้น หัวใจคุณทำงานหนักขึ้น ร่างกายย่อมมีการต่อสนองกลับ ดังนั้นในการฝึกเราควรเป็นผู้ฟังที่ดี ในระหว่างวิ่งเราต้องแยกแยะให้ถูกว่า อาการปวดของกล้ามเนื้อเป็นแบบ เบริ์น หรือที่เรียกว่า good pain (เราออกจาก comfort zone) กับอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อ bad pain ที่ทุกๆ ก้าวคุณรู้สึกเจ็บปวดกล้ามเนื้อ เจ็บไปถึงกระดูก (ใกล้จะมีการบาดเจ็บของกล้มเนื้อแล้ว)
การฟังเสียงของร่างกายจึงเป็นส่วนสำคัญในการฝึก บางครั้งต้องใช้ประสบการณ์ในการเรียนรู้ ว่าเป็นอาการเจ็บปวดหรืออาการเมื่อยล้าที่คุ้นเคยแบบนี้เราจะสามารถไปต่อได้หรือไม่
จินตนาการภาพการเข้าเส้นชัย ทุกๆ จินตนการมีพลังช่วยในการผลักดันตัวคุณ การจินตนาการภาพที่คุณเข้าเส้นชัยจะช่วยกระตุ้นความต้องการ ความมั่นใจ ความอยากกระหายให้ดังกว่าแรงด้านลบ ที่ยุยงให้เรายอมแพ้ พลังแห่งจินตนาการจึงเป็นอาวุธที่สำคัญอย่างหนึ่งสำหรับนักวิ่งทุกคน
มันคือชัยชนะเล็กๆ ในการวิ่งระยะไกลเราลองแบ่งเป้าหมายเป็นหัวข้อย่อยๆ ดู อย่างเช่น วิ่ง pace 6 ให้ได้ 3-4 กิโลเมตร รักษา posture ในการวิ่งขึ้นเขา อีก 2 กิโลถึงจุดรับน้ำหยุดและกินให้มากที่สุด เป็นต้น ทุกๆ ครั้งที่เราผ่านจุด Check point เหล่านี้ เราจะรู้สึกดี ดีใจ เราทำได้แล้ว และการบรรลุเป้าหมายเล็กๆ แต่บ่อยๆ ครั้งจะเป็นแรงกระตุ้นด้านการมองโลกในด้านบวกได้อย่างดีเลยละ
สร้างคติประจำใจ หรือจะมีบุคคลที่เป็นแรงบันดาลใจให้คิดถึงเวลาย่อท้อ หรือในเวลาที่ใกล้จะยอมแพ้ จะได้มีแรงอึดขึ้นมากใหม่ แต่พวกคติประจำใจก็ไม่ควรจะรุนแรงเกินไป อย่าง วิ่ง เดิน, คลาน แต่อย่าหยุด การตั้งคติอย่างนี้เป็นการสร้างเงื่อนไขทำให้เรารู้สึกกลัวต่อการพ่ายแพ้ ล้มเหลว ให้ลองเปลี่ยนมาแบบสร้างสรรค์ดูบ้าง อย่าง ขอพลังจงสถิตย์อยู่กับท่าน, สองขายังก้าวเดินได้อยู่ เป็นต้น
ที่มา http://www.runnersworld.com/psychology/train-your-brain